เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ส.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรามาทำบุญ เราว่าบุญเราแสวงหาได้ เรามาทำบุญกุศล เพราะเรามีพื้นฐาน เราเป็นชาวพุทธ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายเราสอนมาให้มีการเสียสละ พระพุทธศาสนากล่อมเกลาจิตใจของสังคมชาวไทยเราให้มีการเสียสละ ให้มีการยิ้มแย้มแจ่มใส “ยิ้มสยาม” ยิ้มออกมาจากใจ ยิ้มของเขามันยิ้มออกมาจากสามัญสำนึก แต่เรายิ้มออกมาจากใจ จิตใต้สำนึกเลย นี่สิ่งที่เราทำบุญกุศลเพราะว่าพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เราฝังกันมาในสายเลือด

แต่โดยปัจจุบันนะ เพราะเรามีบุญกุศล เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ดูสิ ผู้ที่เขาไม่เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ เวลาศาสนาเผยแผ่ไปน่ะเขาทึ่งนะ เขาตื่นเต้นว่ามีอย่างนี้ด้วยหรือ ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในโลกเดียวกันนี่แหละ แต่พระพุทธศาสนาไปไม่ถึงเขานะ เขาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น

คำว่า “ศาสนา” เวลาเราพูดถึงว่าศีล ๕ ศาสนาไหนก็มีศีลๆ.. มันก็คนละศีลนะ

ศีลของเรา คือการเสียสละ

ศีลของเขา คือความมั่นคงของเขานะ ความเข้มแข็ง ความมั่นคงของเขาคือศีลของเขา

แต่ศีลของเรานะ ศีลของพระพุทธศาสนา เห็นไหม

“ปาณาติปาตา” ไม่รังแกกัน ไม่ทำลายกัน

“อทินนาทาน” ของที่เขาไม่ได้ให้น่ะ ไปหยิบเอาฉวยเอาโดยที่เขาไม่ได้ให้น่ะ นั่นน่ะ “อทินนาทาน”

“กาเมสุมิจฉาจาร” มันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะแบบว่าจะไม่ให้มีครอบครัว มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีให้อยู่ในศีล ๕

“มุสา” ความโกหก สิ่งนี้มันทำลายกันทั้งนั้นน่ะ

“สุรา” ความมึนเมา

นี่ศีลของเราเป็นอย่างนี้ แต่ศีลของเขานะ ไปศึกษาสิ ไม่อยากพูด ศีลของเขามันไม่เป็นอย่างนี้ไง แต่เวลาเราพูดน่ะ “ศีลธรรมๆ ศีลธรรมจริยธรรมนะ” ศีลธรรมทั้งนั้นน่ะ แต่ศีลของใคร?

โดยสามัญสำนึกของมนุษย์นะ ไม่มีศาสนาทุกคนกลัวผี กลัวสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เราจะอ้อนวอนไง ศาสนาโดยดึกดำบรรพ์เป็นศาสนาถือผีถือสางหมดเลย เป็นผีถือสาง ถือพระเจ้า ถือสิ่งที่มีอำนาจเหนือเรา แล้วเวลาเขาบูชายัญกันน่ะ นี่ไง เขาบูชายัญกันนะ เขาว่าอ้อนวอนนะ เหมือนกับการติดสินบนกัน แต่โบราณกาล ฝนตกฟ้าร้องแดดออกต่างๆ เราต้องเคารพบูชา เราไหว้ทั้งนั้นน่ะ เราอ้อนวอนเอา

แต่ในปัจจุบัน เวลาพระพุทธเจ้าสอนนะ “ให้ทำความดี ให้ความดีกับความดีถึงกัน ส่วนที่ทำความดีนะ เราอุทิศส่วนความดี เสียสละให้แก่กัน..” นี่พระพุทธศาสนานะ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้

แต่เวลาเรา มันสามัญสำนึกของมนุษย์ไง สามัญสำนึกของเรา เอาความเรียบง่ายน่ะ ตีความกันเองไงว่าพระพุทธศาสนาเขาสอนอย่างนี้ นี่พระพุทธศาสนาสอนการเกิดการตาย พระพุทธศาสนาสอนถึงจิตวิญญาณ “จิตวิญญาณ” เทวดา อินทร์ พรหม เป็นเด็กถือบาตร พระอินทร์น่ะเป็นคนถือบาตรพระพุทธเจ้า เป็นเด็กล้างบาตร แต่เราไปเคารพบูชากัน พระอินทร์เป็นแค่เด็กล้างบาตรนะ เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์ นี่ถือจิตวิญญาณ.. ไม่ได้ถือจิตวิญญาณอย่างนั้น! ถ้าจิตวิญญาณอย่างนั้นนะ เราถือเทวดา อินทร์ พรหม เป็นที่พึ่งอาศัยนะ

เราก็เป็นนะ เรานี่เป็น จิตทุกดวงจิตเคยเกิดเคยตายในวัฏฏะนี้ เราเคยเป็นเทวดากันมา เราเคยเป็นพรหมกันมา เราเคยตกนรกอเวจีกันมา ทุกดวงใจที่นั่งอยู่นี่ ทุกสิ่งที่มีชีวิตนี้มันเวียนไปในวัฏฏะ เราเคยเวียนตายเวียนเกิดมาในวัฏฏะ สิ่งนี้เราเป็นมา

ถ้าเราเป็นมา ถ้าเราอ้อนวอนเขา ทำไมเราไม่อ้อนวอนตัวเอง ทำไมเราไม่เคารพบูชาหัวใจของเรา.. จิตวิญญาณดวงนี้ ผีเรือนตัวนี้ ผีเรือนอ่อนแอ ผีป่าจะเข้ามารุกราน ผีเรือนตัวนี้เข้มแข้งขึ้นมาน่ะ ผีป่ามันจะเข้ามารุกรานได้อย่างไร แล้วเราอ่อนแออย่างไรต้องไปเคารพบูชาเขา.. พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าถือว่าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หัวใจของเราต้องเข้มแข็ง จิตวิญญาณดวงนี้ จิตวิญญาณเราต้องเคารพบูชาจิตวิญญาณดวงนี้

เราเคยเวียนเกิดเวียนตายในวัฏฏะ ถือพระเจ้า เคารพบูชาอ้อนวอนพระเจ้า อ้อนวอนกันไป

เราก็คือพระเจ้า เวลาเราตายไป เราทำคุณงามความดี เราไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม พระอินทร์ก็มีวาระ ทุกอย่างมีวาระเพราะอะไร เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ทุกสิ่งที่มีชีวิตมีการเกิดและการตาย พระเจ้าก็มีการเกิดและการตาย พระเจ้าไหนก็ไม่คงที่! ไม่มีพระเจ้าไหนคงที่

แต่เป็นการสอนผิดของพราหมณ์ว่าเป็นอาตมัน เราจะไปอยู่กับพระเจ้า เราเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า เราต้องไปจำนนกับพระเจ้า.. ไม่มี! ไม่มี! โลกนี้ไม่มีอะไรคงที่! ไม่มี!

ในเมื่อไม่มีนะ เราก็เป็นส่วนหนึ่งใช่ไหม นี่เราส่วนหนึ่ง พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ ถ้าพระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ เราเป็นชาวพุทธกัน เราทำบุญกุศลอุทิศส่วนกุศลเพื่อใคร อุทิศส่วนกุศลเพื่อสิ่งมีชีวิต เราทำบุญตักบาตรกับพระ พระนี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เอาปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ดำรงชีวิต ดำรงชีวิตมาเพื่ออะไร เพื่อประพฤติปฏิบัติ

พระเจ้าพิมพิสาร เวลาเจ้าชายสิทธัตถะออกหาโมกขธรรม เวลาผ่านมาถึงมคธ พระเจ้าพิมพิสาร.. เพราะรู้อยู่ เพราะกษัตริย์สมัยโบราณ แว่นแคว้นมันคับแคบ รู้จักกันหมด “นี่โดนเขาปฏิวัติมาหรือ โดนเขาขับไล่ออกมาหรือ ให้กองทัพครึ่งหนึ่ง ให้ไปยึดเอาเมืองคืนนะ”

เจ้าชายสิทธัตถะบอก “ไม่ใช่ ที่ออกมานี่ออกมาด้วยความสมัครใจ ออกมาด้วยความจริงใจ ออกมาแสวงหาโมกขธรรม”

พระเจ้าพิมพิสารขอสัญญาไว้เลย “ขอสัญญาไว้ว่าถ้าออกไปประพฤติปฏิบัติแล้ว ถ้าบรรลุธรรมแล้ว ขอให้กลับมาสอนด้วย” ขอเอาไว้เลย เห็นไหม ขอให้กลับมาสอนด้วย พระพุทธเจ้าออกแสวงหา นี่ออกไป

สิ่งที่ออกแสวงหา “ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง” แสวงหาโมกขธรรม นี่ประพฤติปฏิบัติน่ะ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงดำรงชีวิตไว้ ดำรงชีวิตไว้สืบต่อ

พระพุทธเจ้าสอนเลยให้พระเราให้มีสติปัญญา ให้มีสตินะ ของมันได้มากได้น้อย มักน้อยสันโดษ

“มักน้อย” กับสิ่งที่ตามมีตามได้

“สันโดษ” สันโดษคือว่าเราต้องควบคุม เราต้องมีสติปัญญาทันว่าของอย่างนี้เราใช้สอยไปแล้ว มันจะเพิ่มกิเลสหรือมันจะชำระกิเลส ถ้าของสิ่งนี้มันใช้ไปแล้ว มันไปส่งเสริมกิเลส อาหารฉันเข้าไปแล้ว แล้วธาตุขันธ์มันแข็งแรง นั่งสมาธิภาวนามันก็ไม่ได้สะดวกของมัน เราก็ต้องผ่อน เราไม่ใช่อดอยากนะ แต่เราจะเอาชนะกิเลสของเรา เราต้องมีสติปัญญา ของมีเต็มไปหมด ฉันอย่างไรก็ได้ ฉันให้ท้องแตกตายก็ได้ แต่ฉันเข้าไปแล้วมันเป็นหมู มันเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ฉันเข้าไปดำรงชีวิต

พระพุทธเจ้าสอนเลยบอกว่า “เวลาฉัน.. พระภิกษุฉันอาหาร ทางโลกเขาฉันเพื่อกาม ฉันเพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อดำรงชีวิต เขาฉันเพื่อบำรุงกิเลส ๔ อย่าง.. ภิกษุเราฉันเพื่อดำรงชีวิตอย่างเดียว” เหมือนกับการหยอดน้ำมันในล้อเกวียน ไม่ให้มีเสียงดังเท่านั้นเอง ล้อมันหมุนไป ค่อยหยอดน้ำมันพอให้มันหมุนของมันไปได้ ชีวิตเราก็หมุนไปได้

ล้อเกวียนธรรมจักร ชีวิตของเราจะเป็นจักรขึ้นมา.. ไม่ใช่กงจักรนะ.. กงจักรมันจะกว้านมาเพื่อส่งเสริมกิเลสนะ จะใช้สอย สิ่งที่ได้มามักน้อยสันโดษ มักน้อยด้วย สันโดษด้วย สันโดษของเรา มักน้อยตามมีตามได้ สันโดษคือว่าเราต้องดูแลของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา แม้แต่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ยังจะต้องมักน้อยต้องสันโดษต้องรักษาของเรา นี่ผู้ที่ฉลาด ผู้ดำรงชีวิต

แต่โลกเขาไม่เข้าใจของเขา เขาก็คิดว่าส่งเสริม บุญของเขา เขาจะเสียสละของเขา เนื้อนาบุญของโลก เขาเสียสละ เขาหว่านพืชลงไปผืนนา เราเป็นนา เวลาเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของเขา เขาก็เก็บเกี่ยวบุญกุศลของเขาไป เราได้แต่ข้าวที่ตก เวลาเราเก็บเกี่ยว ข้าวที่มันหลุดจากรวงมัน มันตกอยู่ที่ผืนนา เราก็ได้แค่นั้นน่ะ เราได้แค่ดำรงชีวิตไง นั่นบุญกุศลนั่นเป็นของเขานะ เขาได้ของเขามานะ เราไปดำรงชีวิตกันเพื่อประพฤติปฏิบัติของเรา “เพื่อประพฤติปฏิบัติ”

การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา.. ดูสิ เราบอกว่าโลกเจริญๆ เดี๋ยวนี้โลกเจริญหมดนะ แล้วศาสนาพุทธโดนวิทยาศาสตร์ โดนโลกเหยียบย่ำ เดี๋ยวนี้ศาสนาโผล่ขึ้นมาไม่ได้เลย โลกมันเหยียบย่ำหมด.. วิทยาศาสตร์ไง ปฏิบัติต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องพิสูจน์ได้ ต้องเป็นวิทยาศาสตร์หมดเลย วิทยาศาสตร์ก็คือโลก โลกเหนือธรรม

นี่ไง เวลาพูดถึงธรรมะ เวลาธรรมะ เวลาโปฐิละ เวลาประพฤติปฏิบัติมีปัญญามาก รู้ธรรมพระพุทธเจ้าไปหมดเลย สอนเขาทั่วไปหมดเลยนะ ลูกศิษย์ลูกหาไปไหน ๕๐๐ พูดไม่คลาดเคลื่อนจากพุทธพจน์เลย คำเดียวกันเป๊ะๆๆ เลย โอ้โฮ.. คนนี่เชื่อถือศรัทธามาก เวลาไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ? ใบลานเปล่าไปแล้วหรือ?” เป๊ะๆๆ นั่นน่ะ พุทธพจน์ชัดๆ นั่นน่ะ “ใบลานเปล่า” ไม่มีอะไรเลย ไม่มี! ไม่มีอะไรเลย จนโปฐิละมีความสะกิดใจ

พอมีความสะกิดใจ “เราคงจะมีอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา เราทำคุณงามความดีกับศาสนานี้ ท่านจะชมเชยเราบ้างก็ไม่มีเลย มีแต่ใบลานเปล่าๆ น่ะ ไม่มีอะไรเลย” นี่ได้สติ

พอได้สติ หนีจากหมู่คณะ หนีไปประพฤติปฏิบัติ ไปหาสำนักปฏิบัติ ไปแบบวัดผู้ปฏิบัติ พระป่ามีแต่พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย เข้าไปหัวหน้า ตั้งแต่เจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็บอก “โอ้ย.. อำนาจวาสนาน้อย เพราะอะไร เพราะพูดพุทธพจน์ไม่ชัดเจนเหมือนนั้นเลย เพราะพูดจากความรู้สึก เป็นความจริง แล้วจะไปสอนอย่างไรได้ พอพูดไปมันก็ขัดแย้งกันน่ะ”

ถ้าอย่างนั้นบอกให้ไปองค์รองๆ ไปถึงสามเณรน้อย พอสามเณรน้อย สามเณรน้อยก็ถึงที่สุดแล้วปฏิเสธไม่ได้แล้ว สามเณรน้อยก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน.. ทดสอบ ให้ลงใจ.. ถ้าไม่ลงใจน่ะ มันจะถือพุทธพจน์เป๊ะๆๆ นั่นน่ะ พูดพุทธพจน์ เอ็งพูดผิดพุทธพจน์นะ ข้าสูงกว่า ข้าแน่กว่า เอ็งจะสอนข้าไม่ได้หรอก

“นี่อยากได้ไม้..” ทดสอบใจกันก่อน..

“อยากได้ไม้ในกอไผ่ ให้เข้าไปตัด”

ห่มจีวรเข้าไป แล้วไปนี่จีวรมันเกี่ยวผ้าอยู่แล้วก็จะไปตัดให้ เพราะใจมันลงแล้ว ใจลงแล้ว งั้นบอก “ไม่เอาแล้ว.. เอาน้ำดีกว่า ให้ลงน้ำไป”

พอลงน้ำไป พอถึงน้ำ.. “ไม่เอาแล้ว.. ขึ้นมา” เอ้า.. พอขึ้นมา พอเข้ามามาสอน มานั่ง

“เอาอย่างนี้นะ เริ่มต้นจะภาวนานะ ตั้งใจให้ดีนะ จะบอกธรรมะ..”

จำพุทธพจน์มาเต็มหัวอกเลย! อริยสัจรู้ไปทุกข้อ! อะไรก็รู้ไปหมด! รู้ทั้งนั้นเลย! นี่ไง วิทยาศาสตร์ไง นี่ไงวิทยาศาสตร์มันเหยียบธรรมะไว้ รู้ทุกอย่างเลย แต่ทำไมมันโง่กับตัวเอง พอโง่กับตัวเอง..

สามเณรน้อยสอนนะ “ร่างกายเราเปรียบเหมือนจอมปลวก จอมปลวกมันมีรูอยู่ ๖ รู เหี้ยมันออกหากินอยู่ตลอดเวลา เหี้ยมันออกหากินตลอดเวลา ฉะนั้นต้องพยายามปิดรูทั้ง ๕ รูไว้ แล้วเหลือไว้รูหนึ่ง แล้วตั้งสติไว้คอยจับเหี้ยตัวนั้นไว้” นี่พระป่าสอน นี่ธรรมกถึก ไม่ใช่วินัยธรสอน

ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์สมัยเรานะ โอ้โฮ.. ต้องมาปิดรูตั้ง ๕ รูนะ แล้วคอยมาจับรูนั้นนะ แล้วก็คิดสิ ก็เอาไม้ตีมันซะเลย จอมปลวกก็ตีมันสิ ทำลายมันเลย จะได้จับเหี้ยนั้นง่ายๆ นี่วิทยาศาสตร์คิด

แล้วถ้าคิดมุมกลับนะ มันเป็นไปได้อย่างไร จอมปลวกคือจอมปลวกใช่ไหม แต่เวลาสามเณรน้อยท่านอุปมาอุปไมย บุคลาธิษฐานน่ะ จอมปลวกคือร่างกายของเรา ถ้าเอ็งจะเอาไม้ทุบจอมปลวกเพื่อจะจับเหี้ยตัวนั้นนะ หรือเอ็งทำลายจอมปลวกเพื่อจับเหี้ยตัวนั้นนะ มึงก็เอามีดทำลายตัวมึงก่อนสิ.. นี่ไง ถ้าเป็นธรรม บุคลาธิษฐานน่ะเปรียบเทียบ เปรียบเทียบให้เรามีความตั้งใจ มีความจงใจ

แต่เดี๋ยวนี้ปฏิบัติ ถ้าไปปิดรู ๕ รู เปิดไว้รูหนึ่งเพื่อเอาตัวเหี้ยตัวนั้น มันลำบากไง ตั้งสติมันลำบาก พุทโธก็ลำบาก ทำอะไรมันก็ลำบากนะ เอาอะไรมันง่ายๆ ไง ก็ทุบปลวกเลยไง จอมปลวกก็ทุบทิ้งไง ยังไม่ทุบทิ้งธรรมดานะ ปัญญามันมาก เอาตาข่ายมาล้อมไว้ก่อนนะ แล้วทำลายมันนะ เดี๋ยวเหี้ยมันจะมาติดตาข่าย.. คิดไปเป็นวิทยาศาสตร์ คิดไปเป็นโลก โลกมันเหยียบธรรมะไว้! คิดเป็นโลกๆ แล้วเอาโลกมาเป็นใหญ่ แล้วก็เทียบเคียงทางโลก แล้วคนมันก็โง่!

นี่วิทยาศาสตร์ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ชาวพุทธเจริญมาก เดี๋ยวนี้ปัญญาเจริญมาก ทุกคนมีการศึกษามาก พอการศึกษามาก พูดทางวิทยาศาสตร์ พูดทางวิชาการ โอ้โฮ.. มันชัดเจนน่ะ มันสุดยอดนะ..

แต่พอพุทโธๆ พุทโธแล้วได้อะไร?

ถ้าเรายังไม่ทำความสงบของใจ เรายังจับเหี้ยตัวนั้นไม่ได้ ทุกคนยังไม่เห็นความผิดของตัว นกขี้บนหัวตัวเองน่ะไม่เห็น ถ้านกขี้บนหัวคนอื่นเห็นหมดเลย.. ความผิดของสังคม ความผิดของคนอื่น ทุกคนรู้ได้หมดเลย แต่ความผิดของตัวเอง ทุกคนหามันไม่เจอ ถ้าคนอื่นหาไม่เจอ เพราะใจมันไม่ลง เห็นไหม ถ้าใจมันลงนะ นี่ความผิดอย่างนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องโลกๆ

จริตนิสัยเราเห็นได้ เด็กหรืออะไรอย่างนี้เราเลี้ยงมากับมือ เรารู้ว่าเด็กคนนี้มันนิสัยต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ธรรมที่เหนือโลก จริตนิสัยของเรา อดีตชาติ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตที่มันสะสมมาให้เป็นเรา มีศรัทธามีความเชื่ออย่างนี้ มันมีสิ่งใดควรแก่การที่มันจะเป็นสิ่งที่ตรงกับจิตของเรา แล้วทำอย่างไร

จิตของเราพอมันสงบเข้าไป ความสงบของจิต อาการของจิต ระดับน้ำระดับเดียวกัน ถ้าระดับน้ำในระดับเดียวกันแต่มีระดับน้ำที่มันลึกกว่า ระดับน้ำต่างระดับมันจะแตกต่างกัน ความแตกต่างกันมันต้องมีสิ่งใดกั้นไว้ ระดับน้ำมันถึงจะแตกต่างกันได้ แต่ในความรู้สึกของจิตเรา เวลาจิตของเรามันมีความลึกซึ้งที่มันสงบตัวลงไปน่ะ

กิเลสมันอยู่ที่จิตใต้สำนึก กิเลสมันไม่ได้อยู่ที่สามัญสำนึกที่เราว่ากันอยู่นี่หรอก

สิ่งที่เป็นสามัญสำนึก มันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นโลก

จิตที่มันจะเข้าถึงการแก้กิเลส มันต้องเป็นจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ

ปัจจุบันนี้แม้แต่ความต่างของระดับน้ำ ความต่างของความรู้สึกมันก็ไม่ยอมรับกัน พอไม่ยอมรับกัน.. “มันเป็นนิมิต มันเป็นความรู้สึก มันเป็นสัญญาอารมณ์..” ทั้งๆ ที่พุทธพจน์นั่นน่ะมันสัญญาทั้งหมด! พอมันจะเกิดความจริงๆ ขึ้นมาน่ะ มันบอกเป็นสัญญาอารมณ์ แต่พอเป็นกิเลสครอบหัวมันอยู่ มันบอกอันนั้นเป็นธรรมะ.. นี่โลกกำลังเจริญ นี่โลกเหยียบธรรมไว้ โลกเหยียบธรรมไว้นะ

มีครูบาอาจารย์ของเราที่ว่า “ใจครองธรรม ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน” นี่พูดออกมาตามความเป็นจริง

แต่ไอ้โลกที่มันเป็นใหญ่ โลกียปัญญา-โลกุตตรปัญญา

“โลกุตตรปัญญา” ธรรมเหนือโลก โลกุตตรปัญญา!

โลกทัศน์ โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือสิ่งมีชีวิต โลกคือปฏิสนธิจิต โลกคือปฏิสนธิวิญญาณ

เห็นไหม เราไปอ้อนวอนกัน ไปอ้อนวอนแต่ข้างนอก โบราณเขาเคารพบูชากันเรื่องจิตวิญญาณนะ เรื่องสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ในปัจจุบันนี้พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย แล้วปฏิเสธมา ๒ พันกว่าปี แล้วชาวพุทธเดี๋ยวนี้นะ คิดอาศัยกันแต่ข้างนอก จะแก้กรรม จะสแกนกรรม จะหาสิ่งที่ชำระกิเลส.. ไปหาเอาเถอะ หาจนตาย เพราะกิเลสมันไม่ได้อยู่ที่นั่น กิเลสมันอยู่ที่จิตใต้สำนึกของสิ่งมีชีวิต แล้วสิ่งที่จะเข้าไปชำระมันน่ะ ต้องเป็นสติ เป็นปัญญา เป็นสัมมาสมาธิ เข้าไปสู่รากเหง้าของมัน

ในปัจจุบันนี้ปฏิเสธรากเหง้า แล้วตัดรากเหง้าทิ้งไปเลย ตัดรากเหง้าทิ้งคือสิ่งที่ออกมาจากจิตว่าไม่มีความสำคัญ แล้วไปดูกันน่ะ ความเกิดดับ ความคิด มันเป็นสิ่งเกิดดับจากจิต แล้วตัดรากเหง้า ตัดรากฐานของสิ่งที่จะสืบต่อเข้าไปถึงจิต ถึงสิ่งที่มีกิเลสมันอาศัยอยู่นั้น ตัดรากเหง้ามันทิ้ง

ต้นไม้เขาปลูก เขาต้องมีรากแก้ว เขาต้องมีความสมบูรณ์ของมัน ในปัจจุบันเขาต่อยอด เขาก็ต้องต่อยอดกับตอของมัน ไอ้นี่ตัดทิ้งเลย เอาแต่ยอดไม้ไปปักกัน แล้วบอกมันจะเกิดๆ มันจะเป็นไป แล้วทั้งชีวิตมันจะคว้าน้ำเหลว มันจะไม่ได้สิ่งใดติดมือมันไปเลย สิ่งนี้นะ เพราะอะไร เพราะความโง่ของคน เพราะโลกเป็นใหญ่ ไม่ใช่ธรรมเป็นใหญ่

ธรรมเป็นใหญ่นะ เราต้องเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วศาสนธรรมคำสั่งสอนสอนอย่างไร แล้วตีความอย่างไร ไม่ใช่ตีความแบบโลกๆ.. โลกๆ น่ะเป็นการศึกษาเพื่อศรัทธานะ เพื่อเราเข้ามาในศาสนา นั่นเรื่องโลก

สุตมยปัญญา จินตนาการใคร่ครวญ การทำเข้าทดสอบการทำวิจัยกันร้อยแปดพันเก้า นั่นจินตมยปัญญา ไม่เข้าภาวนามยปัญญาเลย ไม่เข้าถึงจิตตภาวนาเลย ไม่เข้าต่างๆ

“ธรรมเป็นใหญ่.. โลกเป็นใหญ่” ในสมัยโบราณเป็นอย่างนั้น

ในสมัยปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์เรามี พระพุทธศาสนาสอนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าเราทำไม่ถึง เราก็ไม่ได้ปรารถนาขนาดนั้น เราปรารถนาแค่มีความสุขในชีวิตประจำวันนี่แหละ.. ก็ใช่ ถ้าปรารถนามีชีวิตประจำวันใช่ไหม เราก็ทำคุณงามความดีของเราให้มันตรงต่อธรรม ตรงต่อสัจจะความจริง อย่าบิดเบือนให้เป็นกระแสโลก เอวัง